Site Search
สถานที่ทำงานและแรงงาน
โปรดอ่านก่อนใช้บริการ
- คำถามที่พบบ่อยเป็นการแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับระบบกฎหมายในญี่ปุ่นและไม่ได้ให้คำตอบกับคำถามที่เฉพาะเจาะจง
นอกจากนี้ในกรณีของบางคนแล้ว ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นอาจนำมาใช้ไม่ได้ - หากคุณต้องการทราบว่ามีคำถามที่พบบ่อยใด ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ที่นี่หรือไม่ หรือหากคุณต้องการปรึกษาปัญหาเฉพาะของคุณ โปรดติดต่อบริการข้อมูลหลายภาษา (0570-078377)
ซึ่งจะสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคำถามที่พบบ่อยและบริการให้คำปรึกษาตามรายละเอียดคำถามของคุณ - โปรดทราบว่า Houterasu ไม่สามารถรับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ ที่อาจเป็นผลมาจากการพยายามแก้ไขปัญหาเฉพาะบุคคลตามคำถามที่พบบ่อย
เนื้อหา
- 01 ชาวต่างชาติต้องมีสถานะการพำนักแบบใดจึงจะได้รับอนุญาตให้ทำงานได้
- 02 ใบรับรองคุณสมบัติการจ้างงานคืออะไร
- 03 นักเรียนต่างชาติทำงานนอกเวลาหรือไม่
- 04 ฉันได้ซื้อประกันการจ้างงานจากที่ทำงาน ประกันการจ้างงานครอบคลุมชาวต่างชาติอย่างฉันด้วยหรือไม่ ถ้าครอบคลุม จะต้องจ่ายค่าเบี้ยเมื่อไหร่
- 05 ฉันเป็นชาวต่างชาติที่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ฉันได้สอบถามสภาพการทำงานทางวาจา จึงเกิดความกังวลขึ้น หากต้องการเซ็นสัญญาจ้างงาน ฉันจะทำได้หรือไม่
- 06 สภาพการทำงานที่อธิบายให้ฉันทราบด้วยวาจาขณะเริ่มสัญญาว่าจ้างแตกต่างจากความเป็นจริง ฉันจะเรียกร้องอะไรได้บ้าง
- 07 หากฉันไม่ได้รับเงินจากนายจ้าง ควรทำอย่างไรดี
- 08 บริษัทที่ฉันทำงานอยู่ได้รับความเสียหาย และฉันถูกขอให้จ่ายเงินชดใช้ ฉันต้องปฏิบัติตามหรือไม่
- 09 ฉันกำลังถูกคุกคาม (ถูกกลั่นแกล้ง ใช้อำนาจในทางที่ผิด ฯลฯ) ในที่ทำงาน ควรทำอย่างไรดี
- 10 ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน ควรทำอย่างไรดี
- 11 ฉันลาออกเพราะถูกเจ้านายลวนลาม ฉันจะให้นายจ้างแสดงความรับผิดชอบได้ไหม
- 12 ฉันถูกเพื่อนร่วมงานทำร้ายในที่ทำงาน และได้รับบาดเจ็บ ฉันสามารถเรียกค่าเสียหายจากบุคคลดังกล่าวในข้อหาใดได้บ้าง
- 13 ชาวต่างชาติสามารถเรียกร้องค่าชดเชยได้หรือไม่หากเกิดการบาดเจ็บขณะทำงาน
- 14 ฉันอยากขอรับผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรม แต่บริษัทฉันไม่ยอมรับรองว่าอาการบาดเจ็บของฉันเกิดจากการทำงาน ควรทำอย่างไรดี
- 15 ฉันสามารถรับผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมได้หรือไม่ ถ้าฉันเป็นโรคซึมเศร้าเพราะการใช้อำนาจในทางที่ผิด การล่วงละเมิดทางเพศระยะเวลาทำงานที่นานเกินไป ฯลฯ
- 16ฉันต้องการลาออก แต่ถูกห้ามไว้ ฉันควรทำอย่างไรดี
- 17 ฉันถูกไล่ออกกะทันหัน ควรทำอย่างไรดี
- 18 ฉันเป็นคนต่างชาติและลาออกจากงานแล้ว แต่ได้วางแผนอยู่ญี่ปุ่นต่ออีกระยะหนึ่ง ฉันจะต้องทำอย่างไรบ้าง
- 19 ฉันทำงานภายใต้สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา แต่สัญญาของฉันไม่ได้รับการต่ออายุ ฉันมีทางเลือกอะไรบ้าง
- 20 ฉันได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน (อุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม) ระหว่างอยู่ภายใต้สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา และฉันถูกเลิกจ้างเนื่องจากไม่สามารถกลับไปทำงานได้ ฉันมีทางเลือกอะไรบ้าง
- 21 ฉันเป็นแรงงานที่ถูกส่งตัวมาจากบริษัทจัดส่งแรงงาน แต่จู่ ๆ ลูกค้าที่ฉันถูกส่งตัวไปทำงานด้วยแจ้งว่าฉันไม่ต้องไปทำงานอีกแล้ว ผลก็คือ ฉันถูกปลดออกจากบริษัทจัดส่งแรงงาน ฉันมีทางเลือกอะไรบ้าง
- 22 หากพนักงานสัญญาจ้าง (ลูกจ้างภายใต้สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา) ลาออกจากงาน จะต้องจ่ายค่าปรับหรือไม่ นายจ้างสามารถเรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญาได้หรือไม่
- 23 ขณะนี้ฉันทำงานโดยใช้วีซ่า “วิศวกร/ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยศาสตร์/กิจการต่างประเทศ” และกำลังคิดที่จะลาออก ฉันอยากหางานใหม่ในญี่ปุ่น แต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานภาพการพำนักของฉัน
ถาม01:ชาวต่างชาติต้องมีสถานะการพำนักแบบใดจึงจะได้รับอนุญาตให้ทำงานได้
ต้องมีสถานภาพการพำนักโดยไม่มีข้อจำกัดในประเภทของงานที่จะทำ เช่น เป็นผู้พำนักถาวร หรือสถานะการพำนักที่อนุญาตให้ทำงานได้ตามขอบเขตที่ระบุไว้ในสถานะการพำนัก เช่น นักการทูต
(คำอธิบาย)
・ ชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในญี่ปุ่นสามารถพำนัก (ทำงาน ฯลฯ) ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
ภายในขอบเขตของสถานะการพำนักที่ได้รับนับตั้งแต่เวลาที่ได้เข้าประเทศญี่ปุ่น (เวลาที่เครื่องบิน
ลงจอด) เป็นต้น
・ สถานะการพำนักมีด้วยกัน 29 ประเภท โดย 24 ประเภทอนุญาตให้คุณทำงานได้ตามขอบเขต
ของสถานะนั้น ๆ
・ สถานะการพำนักทั้ง 24 ประเภทนั้นมีประเภทที่ไม่มีข้อจำกัดของงานที่ทำด้วยกัน 4 ประเภท
ได้แก่ ผู้พำนักถาวร คู่สมรสหรือบุตรของคนสัญชาติญี่ปุ่น คู่สมรสหรือบุตรของผู้พำนักถาวร และผู้
พำนักระยะยาว
・ สถานะการพำนักมี 20 ประเภทที่อนุญาตให้คุณทำงานได้ตามขอบเขตสถานะการพำนัก ได้แก่
นักการทูต ข้าราชการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ศิลปิน ผู้เผยแพร่ศาสนา สื่อมวลชน ผู้เชี่ยวชาญ
ระดับสูง ผู้จัดการเอกชน งานบริการทางกฎหมาย/บัญชี บริการทางการแพทย์ นักวิจัย วิทยากร
วิศวกร/ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยศาสตร์/บริการระหว่างประเทศ พนักงานที่บริษัทส่งมาประจำการ
ภายใน พยาบาล ผู้ให้ความบันเทิง แรงงานมีฝีมือ แรงงานทักษะเฉพาะ การอบรมงานเชิงเทคนิค
และกิจกรรมตามที่กำหนด (ในวันหยุด แรงงานตามบ้านของนักการทูต ฯลฯ)
・ ส่วนอีก 5 ประเภท (กิจกรรมทางวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวระยะสั้น นักเรียน นักศึกษาฝึกงาน และ
ผู้ติดตาม) ไม่อนุญาตให้ทำงานใด ๆ แต่กระนั้นคุณก็อาจทำงานภายใต้ขอบเขตของ “การอนุญาต
ให้ทำงานอื่นนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตภายใต้สถานะการพำนักที่ได้รับก่อนหน้านี้” ได้เช่นกัน
00395
ถาม02:ใบรับรองคุณสมบัติการจ้างงานคืออะไร
- ใบรับรองคุณสมบัติการจ้างงานเป็นเอกสารที่ออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เพื่อยืนยันว่าชาวต่างชาติมีสถานะการพำนักที่สามารถทำงานได้และสามารถประกอบ
อาชีพหนึ่ง ๆ ได้ - ใบรับรองคุณสมบัติการจ้างงานช่วยให้ชาวต่างชาติสามารถยืนยันได้ว่าตนสามารถ
ทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อต้องการหางานทำ นอกจากนี้ยังช่วยให้นายจ้าง
แน่ใจได้ว่าชาวต่างชาตินั้นได้รับอนุญาตให้ทำงานได้จริง
(คำอธิบาย)
- นี่คือระบบรับรองชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานได้
- กระบวนการคัดกรองจะตรวจสอบว่าผู้สมัครมีสถานะการพำนักที่อนุญาตให้ทำงานได้ หรือ
สถานะการพำนักที่ไม่อนุญาตให้ทำงานแต่ได้รับอนุญาตให้ทำงานอื่นนอกเหนือจากที่ได้รับ
อนุญาตภายใต้สถานภาพการพำนักที่ได้รับก่อนหน้านี้ หรือสถานะการพำนักที่ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ
ในการทำงาน - โดยทั่วไปแล้วใบรับรองจะออกในวันเดียวกับวันที่ส่งใบสมัคร แต่เมื่อเปลี่ยนนายจ้าง ฯลฯ อาจ
ใช้เวลาหนึ่งถึงสามเดือน โดยนับจากเวลาที่ส่งใบสมัครจนถึงเวลาที่ออกใบรับรอง - หากคุณเป็นชาวต่างชาติที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนงานและไม่แน่ใจว่างานใหม่จะตรงกับกิจกรรมที่
สามารถทำได้ภายใต้สถานะการพำนักปัจจุบันของคุณหรือไม่ คุณอาจต้องใช้ใบรับรองระบบ
คุณสมบัติการจ้างงานนี้เพื่อยืนยันสิ่งนี้ - หากคุณได้ชี้แจงข้อมูลว่างานและหน้าที่ที่คุณจะต้องรับผิดชอบใหม่นั้นคืองานประเภทใด
จากนั้นยื่นใบสมัครและรับใบรับรองคุณสมบัติการจ้างงาน คุณก็จะสามารถยืนยันได้อย่างเป็น
กิจลักษณะว่างานใหม่ที่คุณจะทำนั้นมีลักษณะที่ตรงตามสถานะการพำนักปัจจุบันของคุณ - หากไม่มีการออกใบรับรองคุณสมบัติการจ้างงาน แสดงว่างานใหม่ของคุณไม่สอดคล้องกับ
สถานะการพำนักปัจจุบันของคุณ ในกรณีดังกล่าวคุณอาจขอเปลี่ยนแปลงสถานะการพำนักได้หาก
งานใหม่นั้นตรงกับสถานะการพำนักอื่น ๆ แทน หากใบสมัครขอเปลี่ยนสถานะของคุณถูกปฏิเสธอีก
เช่นกัน การล้มเลิกความคิดเปลี่ยนงานน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
03774
ถาม03: นักเรียนต่างชาติทำงานนอกเวลาหรือไม่
・ ชาวต่างชาติที่มีสถานะการพำนักเป็น “นักศึกษา” หรือ “นักเรียนมัธยมปลาย”
จำเป็นต้องได้รับ “การอนุญาตให้ทำงานอื่นนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตภายใต้
สถานภาพการพำนักที่ได้รับก่อนหน้านี้” เพื่อให้ทำงานนอกเวลาได้
・ หากต้องการใบอนุญาต สามารถยื่นใบสมัครได้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของ
ภูมิภาคนั้น ๆ
(คำอธิบาย)
・ โดยหลักการแล้วสถานะการพำนัก “นักศึกษา” และ “นักเรียนมัธยมปลาย” อนุญาตแค่งานที่
เกี่ยวข้องกับการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่น สถาบันการศึกษาเพื่อสอบเข้าเรียนต่อใน
มหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นหรือวิทยาลัยเทคนิคเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับงานนอกเวลาแต่อย่างใด
・ อย่างไรก็ตามเพื่อชดเชยค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพที่สูง นักเรียนสามารถทำงานนอกเวลาได้
ภายในขอบเขตที่กำหนดโดยได้รับ “การอนุญาตให้ทำงานอื่นนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตภายใต้
สถานภาพการพำนักที่ได้รับก่อนหน้านี้”
02377
ถาม04:ฉันได้ซื้อประกันการจ้างงานจากที่ทำงาน ประกันการจ้างงานครอบคลุมชาวต่างชาติอย่างฉันด้วยหรือไม่ ถ้าครอบคลุม จะต้องจ่ายค่าเบี้ยเมื่อไหร่
[สำหรับชาวต่างชาติที่ทำงานอย่างถูกกฎหมาย]
・ โดยหลักการแล้วชาวต่างชาติที่พำนักและทำงานอย่างถูกกฎหมายในญี่ปุ่นจะได้รับการ
คุ้มครองโดยประกันการจ้างงาน
・ การประกันการจ้างงานคือระบบประกันถ้วนหน้าที่ให้ผลประโยชน์แก่แรงงานในกรณีตก
งาน ลางานเลี้ยงดูบุตร ลาดูแลพยาบาล หรือฝึกอบรมงานในสายอาชีพ แรงงานยังต้อง
จ่ายเงินจำนวนหนึ่งโดยหักจากค่าจ้างของตนด้วย
・ ตัวอย่างเช่น หากคุณออกจากงานด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือถูกไล่ออก คุณสามารถขอรับ
เงินช่วยเหลือพื้นฐานได้หากคุณมีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขที่กำหนด ส่งหนังสือแจ้งการ
สูญเสียสถานะผู้เอาประกันภัย และแบบฟอร์มการอนุญาตให้ออกจากงาน และไป
สำนักงานประกันความมั่นคงแรงงานเพื่อลงทะเบียนหางานใหม่ (Hello Work)
[สำหรับชาวต่างชาติที่ไม่มีสถานะการพำนัก]
・ ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่มีสถานะการพำนัก (ทำงานอย่างผิดกฎหมาย) ไม่สามารถได้รับ
การคุ้มครองจากประกันการจ้างงานได้
・ ดังนั้นชาวต่างชาติที่ทำงานอย่างผิดกฎหมายจะไม่ได้รับผลประโยชน์การประกันการ
จ้างงานแม้ว่าจะตกงานก็ตาม หากคุณทำงานอย่างผิดกฎหมายและยังคงจ่ายค่าประกัน
การจ้างงาน เงินก้อนนี้คือเงินที่คุณไม่ต้องจ่าย และคุณควรขอให้หยุดหักเงินสมทบนั้น
ทันที
・ เงินสมทบประกันการจ้างงานที่คุณจ่ายไปจะไม่ได้รับคืน แม้ว่าคุณจะไม่สามารถรับ
ผลประโยชน์กรณีว่างงานได้ก็ตาม
03823
ถาม05: ฉันเป็นชาวต่างชาติที่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ฉันได้สอบถามสภาพการทำงานทางวาจา จึงเกิดความกังวลขึ้น หากต้องการเซ็นสัญญาจ้างงาน ฉันจะทำได้หรือไม่
・ เมื่อทำสัญญาจ้างตามพระราชบัญญัติมาตรฐานแรงงาน นายจ้างจะต้องส่งเอกสารเป็น
ลายลักษณ์อักษรที่ระบุสภาพการทำงานอย่างชัดเจน เช่น เงินเดือน ชั่วโมงการทำงาน
ฯลฯ
・ หากสัญญานั้นเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น ต้องมีการแปลให้เป็นภาษาของคุณเพื่อยืนยัน
เนื้อหาดังกล่าวด้วย
・ สัญญาจ้างงานและระเบียบการจ้างงานมีความสำคัญเนื่องจากช่วยมิให้เกิดปัญหาขึ้น
ในภายหลังได้
・ นอกจากนี้กฎหมายแรงงานยังมีผลบังคับใช้กับแรงงานต่างชาติทุกคนในญี่ปุ่น รวมถึง
แรงงานข้ามชาติที่พำนักเกินกำหนดเวลาอีกด้วย
03822
ถาม06: สภาพการทำงานที่อธิบายให้ฉันทราบด้วยวาจาขณะเริ่มสัญญาว่าจ้างแตกต่างจากความเป็นจริง ฉันจะเรียกร้องอะไรได้บ้าง
บางครั้งคุณอาจขอให้บริษัทปรับปรุงสภาพการทำงานให้ตรงกับที่ได้อธิบายไว้ให้คุณทราบในวันทำสัญญาว่าจ้างได้
(คำอธิบาย)
- โดยปกติแล้วเมื่อทำสัญญาจ้าง สภาพการทำงานบางอย่าง เช่น ค่าจ้างและชั่วโมงการทำงาน
จะต้องระบุไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาพการทำงานที่อธิบายจะ
เป็นเพียงวาจา มิได้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่โดยหลักการแล้วสภาพการทำงานเหล่านั้นจะต้องถือ
ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างงานอยู่ดีนั่นเอง - เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการทำงานเป็นผลดีกับตัวของแรงงานมากกว่าที่ได้เขียนไว้ใน
ข้อบังคับจ้างงาน สภาพการทำงานในสัญญาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างงานด้วยเช่นกัน
ดังนั้นตามข้อกำหนดของข้อบังคับการจ้างงาน สภาพการทำงานที่เป็นผลดีกับตัวของแรงงานซึ่ง
เป็นเพียงคำอธิบายทางวาจาขณะทำสัญญาไม่สามารถเพิกถอนได้ด้วยคู่กรณีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง - หากเงื่อนไขการทำงานที่นายจ้างระบุไว้อย่างชัดเจนในเวลาที่ทำสัญญาจ้างแตกต่างจากสภาพ
การทำงานจริง แรงงานสามารถยกเลิกสัญญาจ้างงานฉบับนั้นได้ทันที - สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดขอคำปรึกษาจากบริการปรึกษาด้านแรงงานทั่วไปของสำนักงาน
แรงงานจังหวัด หรือผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทนาย
02124
ถาม07:หากฉันไม่ได้รับเงินจากนายจ้าง ควรทำอย่างไรดี
ต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีแก้ปัญหา
(1) ยื่นคำร้องกับนายจ้างของคุณทางจดหมายลงทะเบียน ฯลฯ
(2) ส่งรายงานต่อสำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงาน และขอให้ใช้อำนาจเข้ามาช่วยกำกับดูแล (รวมถึงแนวทางจัดการ)
(3) ฟ้องร้องหรือส่งเรื่องดำเนินคดีไปยังศาลแรงงานเพื่อเรียกค่าจ้างค้างจ่าย
(คำอธิบาย)
(1) นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงาน และการไม่จ่ายค่าจ้างดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสัญญาจ้าง อย่างไรก็ตามสิทธิเรียกร้องค่าจ้างจะสิ้นสุดลงตามอายุความเมื่อพ้นกำหนด 3 ปีนับแต่วันครบกำหนด (2 ปีสำหรับยอดที่ต้องชำระซึ่งครบกำหนดก่อนวันที่ 1 เมษายน 2020)
- นายจ้างยังต้องจ่ายค่าชดเชย หากได้ระบุไว้ในระเบียบการจ้างงาน ฯลฯ กำหนดอายุสิทธิเรียก
ค่าชดเชยคือ 5 ปีนับแต่วันถึงกำหนดจ่ายเงิน
(2) การไม่จ่ายค่าจ้างถือเป็นการละเมิดพระราชบัญญัติมาตรฐานแรงงาน และจะต้องได้รับการบังคับให้จ่ายโดยหน่วยงานกำกับดูแล สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงาน
- การไม่จ่ายค่าจ้างมีโทษปรับสูงสุด 300,000 เยน
- เนื่องจากค่าจ้างเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตของแรงงาน พระราชบัญญัติมาตรฐานแรงงานจึงได้
กำหนดรายละเอียดดังต่อไปนี้
(ก) หลักการชำระเงินเป็นเงิน
ค่าจ้างจะต้องจ่ายเป็นเงิน โดยหลักการแล้วไม่อนุญาตให้ชำระในรูปของสิ่งของต่าง ๆ (เช่น นำผลิตภัณฑ์จากสินค้าคงคลังบริษัทมาจ่ายแทน ฯลฯ)
(ข) หลักการชำระเงินโดยตรง
จะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับแรงงานโดยตรง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแสวงประโยชน์จากบุคคลที่สามที่เป็นตัวกลาง
(ค) หลักการชำระเงินเต็มจำนวน
แรงงานต้องได้รับเงินเต็มจำนวน ไม่อนุญาตให้หักลบการเรียกร้องเงินจากแรงงานและค่าจ้างดังกล่าว
(ง) หลักการชำระเงินตามวันที่กำหนดอย่างน้อยเดือนละครั้ง
จะต้องจ่ายค่าจ้างเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานไม่มั่นคง เพราะนายจ้างใช้วิธีจ่ายแบบทยอยจ่ายหรือกำหนดวันที่จ่ายไม่ชัดเจน
- ค่าจ้างซึ่งไม่ว่าจะเรียกโดยใช้คำว่าอะไรก็ตาม ถือเป็นเงินที่นายจ้างจะจ่ายให้กับแรงงานเพื่อเป็น
ค่าตอบแทนการทำงาน ค่าจ้างนอกเวลาก็เป็นค่าจ้างเช่นกัน นอกจากนี้แม้ว่างานนั้นจะเป็นงาน
แบบ “ผู้รับเหมาอิสระ” หากบุคคลที่ทำงานนั้นจัดได้ว่าเป็น “แรงงาน” ด้วยแล้ว ก็อาจสามารถ
เรียกร้องค่าจ้างดังกล่าวได้เช่นกัน - ไม่เพียงแต่เงินเดือนเท่านั้น แต่โบนัสและค่าชดเชยก็ถือว่าเป็นค่าจ้างด้วยเช่นกัน หากกฎในการ
จ้างงาน เช่น กฎเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชย สัญญาจ้างงาน และข้อตกลงร่วม ได้กำหนดให้มีการ
จ่ายเงินและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเอาไว้
(3) การดำเนินคดีที่สามารถยื่นฟ้องในศาลได้จะประกอบด้วย คดีแรงงาน คดีฟ้องร้องเล็กน้อย คดีฟ้องร้องทั่วไป การเรียกร้องให้จ่ายเงิน การประนีประนอมทางแพ่ง เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนของค่าจ้างที่ค้างชำระและสถานการณ์ด้วย นอกจากนี้คุณอาจสามารถยื่นคำร้องเพื่อยึดหรือประมูลทรัพย์สินของนายจ้างตามลำดับความสำคัญของสิทธิในการเรียกร้องค่าจ้าง หรือขอให้ดำเนินคดีเพื่อเก็บรักษาทรัพย์สินของนายจ้าง (ในแบบของการยึดชั่วคราวและการจำหน่ายชั่วคราว)
- สำหรับการฟ้องร้องหรือการพิจารณาคดีอื่น ๆ การตัดสินใจว่าจะใช้วิธีใดจะแตกต่างกันแล้วแต่ละ
กรณี ดังนั้นควรปรึกษาทนายหรือผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ
02132
ถาม08:บริษัทที่ฉันทำงานอยู่ได้รับความเสียหาย และฉันถูกขอให้จ่ายเงินชดใช้ ฉันต้องปฏิบัติตามหรือไม่
- ตราบใดที่การกระทำของแรงงานไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ
ต่อความเสียหาย - หากแรงงานสร้างความเสียหายให้กับนายจ้างเนื่องจากเกิดความผิดต่อภาระหน้าที่ใน
สัญญาจ้างงานหรือเกิดการละเมิด แรงงานต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย แต่ค่าเสียหายอาจ
ไม่มากนักเพราะขึ้นอยู่กับกรณีนั้น ๆ ด้วย
(คำอธิบาย)
- หากไม่มีความสัมพันธ์ในเชิงสาเหตุและผลลัพธ์ระหว่างสิ่งที่แรงงานได้กระทำลงไปกับความ
เสียหายที่เกิดขึ้น แรงงานจะไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ ดังนั้นหากความเสียหายเกิดขึ้นไม่ได้เป็นผล
มาจากการกระทำของแรงงาน แรงงานจะไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น - หากแรงงานไม่ได้กระทำการโดยมีเจตนาหรือประมาทเลินเล่อ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย แม้ว่า
นายจ้างจะได้รับความเสียหายก็ตาม (หลักความรับผิดต่อความประมาทเลินเล่อ) ด้วยเหตุนี้แม้ว่า
ความเสียหายจะเกิดจากการกระทำของแรงงาน แรงงานก็ไม่ต้องรับผิดชอบในการจ่ายค่าเสียหาย
หากไม่ใช่การกระทำโดยเจตนาหรือความประมาทเลินเล่อในส่วนของแรงงาน - แรงงานต้องรับผิดชอบในการจ่ายค่าเสียหาย หากแรงงานฝ่าฝืนภาระผูกพันภายใต้สัญญาจ้าง
และไม่ปฏิบัติตามภาระผูกพันที่สัญญาไว้ (การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ) หรือหากแรงงานสร้าง
ความเสียหายให้แก่นายจ้างในข้อหาละเมิด อย่างไรก็ตามนายจ้างอาจไม่สามารถเรียกร้อง
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากแรงงานได้เต็มจำนวน ทั้งนี้ขึ้นกับระดับความรุนแรงของการกระทำการโดย
มีเจตนาหรือความประมาทเลินเล่อของแรงงาน สภาพการทำงานของแรงงาน และการบริหารความ
เสี่ยงของนายจ้าง - เหตุผลคือตราบใดที่นายจ้างยังมีกำไรจากการจ้างแรงงานให้ทำงานให้ ผู้ที่ได้รับผลกำไร
(นายจ้าง) จะต้องยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นปรกติวิสัย และนายจ้างยังสามารถหา
มาตรการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นปรกติวิสัยอยู่แล้ว เช่น ทำประกันภัย หรือการ
จัดการแรงงาน เป็นต้น เพราะฉะนั้นสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายของนายจ้างจึงถูกจำกัดโดยหลัก
สุจริต (ซึ่งหมายถึงหลักการใช้สิทธิและการปฏิบัติตามภาระผูกพันต้องกระทำโดยสุจริต) - แรงงานจะต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่ หากต้องชดใช้ ควรชดใช้มากน้อยเพียงใด ควรพิจารณา
บนพื้นฐานข้อเท็จจริงของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นโปรดปรึกษาทนายเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป
02747
ถาม09:ฉันกำลังถูกคุกคาม (ถูกกลั่นแกล้ง ใช้อำนาจในทางที่ผิด ฯลฯ) ในที่ทำงาน ควรทำอย่างไรดี
- หากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขหรือจัดการแม้จะได้แจ้งไปทางหัวหน้างานคุณหรือบริการ
ให้คำปรึกษาเรื่องการคุกคามของบริษัทแล้วก็ตาม คุณอาจพิจารณาขอรับบริการให้
คำปรึกษาจากภายนอกได้ (บริการปรึกษาด้านแรงงานทั่วไป ทนาย ฯลฯ) - จากรายละเอียดของพฤติกรรมคุกคามที่ว่า คุณอาจเรียกร้องค่าชดเชยจากบุคคลที่ทำ
การคุกคาม (กลั่นแกล้ง ใช้อำนาจในทางที่ผิด ฯลฯ) หรือนายจ้างได้ด้วย
(คำอธิบาย)
- การคุกคามและการกลั่นแกล้งในที่ทำงานหมายถึงการทำให้แรงงานซึ่งมีสถานะเป็น
ผู้ใต้บังคับบัญชาตามตำแหน่งหน้าที่หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้รับความทุกข์ทั้งทางจิตใจ
หรือทางร่างกาย ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ละเมิดความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยด้านร่างกาย
เสรีภาพในการทำงาน หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ละเมิดสิทธิในการทำงาน หรือทำให้สภาพแวดล้อม
ในการทำงานย่ำแย่ลง - การใช้อำนาจในทางที่ผิดหมายถึง การก่อความทุกข์ทางจิตใจหรือร่างกายให้กับเพื่อนร่วมงาน
หรือทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานแย่ลงในแบบที่ไม่เหมาะสมต่อการทำงานอีกต่อไป ตาม
บริบทที่ผู้กระทำความผิดอยู่ในสถานะที่สูงกว่าในที่ทำงานเช่น มิติที่เกี่ยวกับทั้งหน้าที่การงาน หรือ
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นต้น นอกจากพฤติกรรมที่กระทำโดยหัวหน้างานต่อ
ผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ยังรวมถึงพฤติกรรมระหว่างพนักงานที่มีประสบการณ์มากและประสบการณ์
น้อย หรือระหว่างเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งเดียวกัน และแม้กระทั่งโดยผู้ใต้บังคับบัญชาต่อหัวหน้า
งานอีกด้วย
<<ประเภทของการใช้อำนาจในทางที่ผิด>>
ต่อไปนี้คือประเภทของการใช้อำนาจในทางที่ผิด
(1) การทำร้ายร่างกายและการทำให้บาดเจ็บ (ทำผิดทางกาย)
(2) การข่มขู่ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และคุกคามด้วยวาจาอย่างรุนแรง (ทำผิดทางใจ)
(3) ความโดดเดี่ยว การกีดกัน และการละเลย (การไล่เหยื่อออกจากสังคมเพื่อนร่วมงาน)
(4) การบังคับให้ทำงานที่ไม่จำเป็นหรือเป็นไปไม่ได้อย่างชัดเจน และการขัดขวางการทำหน้าที่ (คำสั่งที่เกินกว่าเหตุ)
(5) การมอบหมายงานระดับล่างซึ่งไม่เหมาะสมกับงานหรือทักษะและประสบการณ์ของบุคคล หรือไม่มอบหมายงานเลย (คำสั่งน้อยไป)
(6) การรบกวนเรื่องส่วนตัวมากไป (การละเมิดความเป็นส่วนตัว)
<<ความรับผิดต่อค่าเสียหาย>>
- หากนายจ้างมีส่วนเกี่ยวข้องกับการคุกคาม กลั่นแกล้ง หรือใช้อำนาจในทางที่ผิด นายจ้างและ
ผู้กระทำความผิดอาจต้องรับผิดร่วมกันอย่างถึงที่สุดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการละเมิด
นอกจากนี้ เนื่องจากนายจ้างมีหน้าที่ตามสัญญาจ้างเพื่อป้องกันมิให้เกิดอุปสรรคร้ายแรงต่อการ
ปฏิบัติหน้าที่ของแรงงาน นายจ้างอาจต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิดข้อผูกพันนี้ - แม้ว่านายจ้างจะไม่เกี่ยวข้องกับการคุกคาม การกลั่นแกล้ง หรือใช้อำนาจในทางที่ผิด แต่
นายจ้างอาจต้องรับผิดต่อความเสียหายในฐานะนายจ้าง เมื่อการกลั่นแกล้ง ฯลฯ เกี่ยวข้องกับงาน
นอกจากนี้ เนื่องจากนายจ้างมีภาระผูกพันภายใต้สัญญาจ้างในการจัดหาสภาพแวดล้อมในการ
ทำงานที่สะดวกสบายให้กับแรงงาน นายจ้างอาจต้องรับผิดต่อความเสียหายจากการละเมิดภาระ
ผูกพันนี้ผ่านการไม่ปฏิบัติตาม - อาจมีการดำเนินการดังต่อไปนี้ก่อนที่จะเรียกร้องค่าเสียหาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี
(1) เก็บหลักฐานของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คำพูด และพฤติการณ์ของผู้กระทำความผิด โดยจดลงเอกสาร อัดคลิป ฯลฯ
(2) ส่งจดหมายลงทะเบียนไปยังนายจ้าง เพื่อเรียกร้องให้หยุดการกลั่นแกล้งและการคุกคาม
(3) ขอรับการประนีประนอมทางแพ่งและดำเนินมาตรการตามข้อ (2)
(4) ยื่นข้อร้องเรียนไปยังสำนักนิติการ (Legal Affairs Bureau) (การให้คำปรึกษาด้านสิทธิมนุษยชน) หรือคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแห่งสหพันธ์เนติบัณฑิตยสภาแห่งประเทศญี่ปุ่น (the Japan Federation of Bar Associations Human Rights Protection Committee)
(5) การดำเนินคดีทางกฎหมายในข้อหาทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ หมิ่นประมาท ฯลฯ
01269
ถาม10:ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน ควรทำอย่างไรดี
- หากคุณเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน อาจลองติดต่อบริการให้คำปรึกษาเรื่อง
ร้องเรียนของบริษัทคุณ (หลายบริษัทมีบริการให้คำปรึกษาสำหรับแรงงานที่ถูกล่วงละเมิด
ทางเพศ นอกจากนี้ธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้มาตรการเพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งขั้น
ร้ายแรงต่อแรงงานซึ่งมาขอรับคำปรึกษาจากบริการให้คำปรึกษาภายในองค์กรของตน) - หากคุณประสบปัญหาสุขภาพจิตเพราะถูกล่วงละเมิดทางเพศ คุณอาจเรียกร้อง
ค่าเสียหายจากทั้งนายจ้างและผู้ล่วงละเมิดได้ด้วย - บางกรณีอาจเป็นอาชญากรรมด้านการบีบังคับได้ด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของการ
ล่วงละเมิดทางเพศ
(คำอธิบาย)
- พระราชบัญญัติโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมกันกำหนดให้นายจ้างต้องใช้มาตรการด้านบริหาร
ที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ - นอกจากนี้ คุณสามารถขอรับคำปรึกษาจากสำนักงานแรงงานประจำจังหวัดและขอความ
ช่วยเหลือแก้ไขประเด็นดังกล่าวภายใต้พระราชบัญญัติโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมกันได้อีกด้วย - พระราชบัญญัติโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมกันห้ามมิให้มีการเลิกจ้างหรือการปฏิบัติต่อ
แรงงานอย่างโหดร้าย ด้วยเหตุเพราะว่าแรงงานได้ปรึกษากับสำนักงานแรงงานหรือหน่วยงาน
ราชการ - การถูกปลดจากตำแหน่งเดิมเพราะขัดขืนไม่ให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศอาจถือเป็นการล่วง
ละเมิดทางเพศที่ “มีเงื่อนไขเป็นข้อแลกเปลี่ยน” (แรงงานต้องยอมรับสภาพการทำงานอันโหดร้าย
โขกสับ อันเป็นผลจากการตอบสนองต่อคำพูดหรือพฤติกรรมทางเพศในที่ทำงาน) - เมื่อเกิดการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่เพียงแต่ผู้กระทำผิดจะต้องรับผิดในข้อหาละเมิดเท่านั้น แต่
นายจ้างยังอาจต้องรับผิดต่อความเสียหายอันเนื่องมาจากส่วนของ “ความรับผิดของนายจ้าง” อีก
ด้วยเช่นกัน (เช่น ความรับผิดชอบในฐานะผู้ว่าจ้างแรงงานและแสวงหากำไรจากแรงงาน) - อย่างไรก็ตามการที่คุณจะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้มากน้อยเพียงใดนั้น จำเป็นต้องได้รับ
การพิจารณาเป็นกรณีไป จึงควรปรึกษากับทนายหรือผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ เพื่อขอรายละเอียด
ต่อไป
01267
ถาม11:ฉันลาออกเพราะถูกเจ้านายลวนลาม ฉันจะให้นายจ้างแสดงความรับผิดชอบได้ไหม
- หากนายจ้างของคุณได้คุกคามคุณอย่างเป็นระบบจริง คุณอาจเรียกร้องค่าเสียหายจาก
นายจ้างในข้อหาละเมิดได้ - แม้ว่านายจ้างจะไม่ได้คุกคามอย่างเป็นระบบจริง แต่นายจ้างก็ยังมี “ความรับผิดของ
นายจ้าง” ในฐานะนายจ้างของหัวหน้างานหรือลูกจ้างที่ลงมือก่ออันตราย และคุณยัง
สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดได้อีกด้วย - นายจ้างยังมีภาระต้องจัดหาสภาพแวดล้อมในการทำงานที่สะดวกสบายสำหรับแรงงาน
อีกด้วย ดังนั้นนายจ้างจึงอาจต้องรับผิดต่อความเสียหายจากการละเมิดภาระผูกพันนี้
เพราะได้เกิดการไม่ปฏิบัติตามขึ้น
(คำอธิบาย)
- คำว่า “ความรับผิดของนายจ้าง” หมายถึงความรับผิดชอบของบุคคลที่ได้แสวงหาผลกำไรจาก
การว่าจ้างผู้อื่น เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นซึ่งเป็นผู้ที่ตนว่าจ้างให้
ทำงาน - สัญญาจ้างได้รวมเอาภาระหน้าที่ของนายจ้างในการที่จะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมในการ
ทำงาน ดังนั้นนายจ้างมีหน้าที่ต้องจัดหาสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายในการทำงานให้แก่แรงงาน
ด้วยเหตุนี้หากนายจ้างฝ่าฝืนข้อผูกพันนี้และแรงงานได้รับบาดเจ็บ แรงงานอาจเรียกร้องค่าเสียหาย
ในข้อหาไม่ปฏิบัติตามจากนายจ้างได้ - ค่าเสียหายที่ลูกจ้างได้รับอาจรวมไปถึงค่าชดเชยปัญหาสุขภาพจิตและค่าเสียหายที่เทียบเท่า
กับจำนวนค่าจ้างที่ไม่ได้รับเนื่องจากแรงงานต้องลาออก แม้ว่าแรงงานจะยังสามารถทำงานต่อไป
ได้หากปราศจากการคุกคาม - จะต้องชดใช้ค่าเสียหายจากการละเมิดหรือการไม่ปฏิบัติตามหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรง
ของการคุกคามและการพิสูจน์ว่าทำได้มากหรือน้อยเพียงใด - นอกจากนี้หากการกลั่นแกล้งในที่ทำงานมีโทษทางอาญา เช่น การทำร้ายร่างกาย การบาดเจ็บ
การหมิ่นประมาท ฯลฯ คุณอาจสามารถขอให้นำตัวผู้กระทำความผิดไปรับโทษได้ - นายจ้างมีหน้าที่ต้องดำเนินมาตรการบริหารจัดการอันจำเป็นต่อการทำงาน (เช่น การชี้แจงและ
เผยแพร่โดยนายจ้างเพื่อให้ทราบถึงนโยบายภายในเพื่อป้องกันมิให้ใช้อำนาจในทางที่ผิด การตั้ง
ระบบให้คำปรึกษา และการดูแลแรงงานที่ได้รับผลกระทบ) เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิด
ในที่ทำงาน ถึงไม่ปรากฎบทลงโทษ แต่การไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่เหมาะสมจะส่งผลให้นายจ้าง
ต้องเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงตนเองจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงานและ
สวัสดิการ และการไม่ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวอาจส่งผลให้ชื่อของนายจ้างปรากฎสู่สายตา
ประชาชนได้ - นอกจากนี้เมื่อเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจโดยมิชอบ เราสามารถขอรับการประนีประนอม
หรือขอรับความช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อระงับข้อพิพาทเป็นรายบุคคลได้ - การกำหนดภาระหน้าที่ของนายจ้างตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น การเผยแพร่ชื่อนายจ้างในข้อหา
ละเมิดภาระหน้าที่ดังกล่าว และมาตรการให้ความช่วยเหลือเพื่อระงับข้อพิพาทเป็นรายบุคคลนั้น
ได้รับการกำหนดขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาล่วงละเมิดทางเพศ (ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษา
ความปลอดภัย ฯลฯ เกี่ยวกับโอกาสและการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันในการจ้างงานงานทั้งชายและ
หญิง) - ปรึกษาทนายหรือผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
01949
ถาม12:ฉันถูกเพื่อนร่วมงานทำร้ายในที่ทำงาน และได้รับบาดเจ็บ ฉันสามารถเรียกค่าเสียหายจากบุคคลดังกล่าวในข้อหาใดได้บ้าง
- สามารถยื่นคำร้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดได้จากผู้กระทำความผิด
(เพื่อนร่วมงาน) และนายจ้าง (บริษัท) โดยจะเรียกร้องจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสอง
ฝ่ายก็ย่อมได้เช่นกัน - บางครั้งคุณยังอาจเรียกร้องค่าเสียหายจากนายจ้างของคุณ (บริษัท) ได้ด้วยเช่นกัน
ในข้อหาไม่ปฏิบัติตามภาระผูกพัน - หากผู้อำนวยการสำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงานรับรองว่าการบาดเจ็บนั้นเกิด
จากการทำงาน คุณสามารถรับผลประโยชน์จากการประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทาง
อุตสาหกรรมได้อีกด้วย
(คำอธิบาย)
- การเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิด
(1) อาจเรียกจากผู้กระทำความผิดรายดังกล่าว
(2) อาจเรียกจากนายจ้างในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำของนายจ้างเอง ในกรณีที่นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างลงมือทำร้ายร่างกายจริง
(3) สำหรับบางกรณีอาจเรียกจากนายจ้างบนหลักการว่าด้วย “ความรับผิดของนายจ้าง” (ความรับผิดชอบของบุคคลผู้ซึ่งได้แสวงหารายได้โดยจ้างงานผู้อื่นให้ต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหาตามที่ปรากฎ) แม้ว่านายจ้างจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงก็ตาม
- ตามภาระผูกพันที่พ่วงมากับสัญญาจ้าง นายจ้างยังมี “หน้าที่ในการดูแล” ในการคำนึงถึงความ
ปลอดภัยและสวัสดิภาพของพนักงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ดังนั้นบางครั้งจะพบว่าการ
เรียกร้องค่าชดเชยต่อความเสียหายอันเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามภาระผูกพันนั้นอาจสามารถทำได้
โดยหลักการว่าด้วยการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าวนั่นเอง - สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้กระทำความผิดรายดังกล่าวหรือนายจ้างก็ได้ แต่
เนื่องจากการเรียกร้องนั้นเป็นค่าชดเชยสำหรับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำที่เสียหายในกรณี
เดียวกัน หากมีการเรียกร้องจากสองฝ่ายโดยใช้วิธีแยกกัน จำนวนค่าเสียหายอาจเปลี่ยนไปจาก
เดิมได้ เพื่อมิให้เกิดค่าชดเชยซ้ำซ้อนกัน - แม้ว่าจะมีการจ่ายผลประโยชน์ประกันการชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมสำหรับการบาดเจ็บ
อันเกิดจากการทำงาน แต่ค่าเสียหายอาจเปลี่ยนไปจากเดิมได้ เพื่อมิให้เกิดการซ้ำซ้อนกันของการ
ชดเชยจากผลประโยชน์ที่ได้จากการประกันและค่าชดเชยความเสียหายนั้น
ปรึกษาทนายหรือผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าชดเชยความเสียหาย
02179
ถาม13:ชาวต่างชาติสามารถเรียกร้องค่าชดเชยได้หรือไม่หากเกิดการบาดเจ็บขณะทำงาน
- การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมครอบคลุมถึงอุบัติเหตุจากการทำงาน
ของชาวต่างชาติด้วย - และอาจถือว่านายจ้างต้องรับผิดทางแพ่งด้วย
(คำอธิบาย)
- พระราชบัญญัติประกันค่าชดเชยจากอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมไม่ได้ระบุข้อจำกัดใด ๆ เกี่ยวกับ
ประเภทของ “แรงงาน” และแม้แต่การจ้างงานที่ผิดกฎหมายหรืองานนอกเวลาซึ่งเกินขอบเขตของ
“การอนุญาตให้ทำงานอื่นนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตภายใต้สถานะการพำนักที่ได้รับก่อนหน้า
นี้” ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการคุ้มครองโดยประกันด้วยกันทั้งสิ้น - การยื่นคำร้องเกี่ยวกับอุบัติเหตุจากการทำงานควรยื่นต่อสำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงานที่
มีเขตอำนาจดูแลครอบคลุมสถานประกอบการนั้น ๆ - หากแรงงานผิดกฎหมายได้ยื่นคำร้องไป ตามประกาศภายในที่ออกโดยกระทรวงแรงงานเดิมใน
ปี 1990 ขอให้แรงงานรายดังกล่าวอย่าเพิ่งไปรายงานตนต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อย่างน้อย
ก็จนกว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับงานที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุจะเสร็จสิ้นลงเสียก่อน - นอกจากนี้ หากมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการความปลอดภัยของนายจ้าง นายจ้างอาจจะต้องรับผิด
ทางแพ่งด้วย
02378
ถาม14:ฉันอยากขอรับผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรม แต่บริษัทฉันไม่ยอมรับรองว่าอาการบาดเจ็บของฉันเกิดจากการทำงาน ควรทำอย่างไรดี
- หากต้องการผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรม แรงงานราย
ดังกล่าว (หรือสมาชิกครอบครัวที่ยังมีชีวิต) ต้องยื่นคำร้องต่อผู้อำนวยการสำนักงาน
ตรวจสอบมาตรฐานแรงงาน
- แบบฟอร์มคำร้องจะได้รับการดำเนินการ แม้ว่านายจ้างจะไม่รับรองการบาดเจ็บอันเกิด
จากการทำงานก็ตาม
(คำอธิบาย)
- ผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมประกอบด้วยผลประโยชน์ด้านค่า
รักษาพยาบาล (ค่าชดเชย) ผลประโยชน์การขาดงาน (ค่าชดเชย) เงินบำนาญการบาดเจ็บและการ
เจ็บป่วย (ค่าชดเชย) ผลประโยชน์ทุพพลภาพ (ค่าชดเชย) ผลประโยชน์ครอบครัวที่เสียชีวิต
(ค่าชดเชย) ค่าทำศพ (เงินช่วยเหลืองานศพ) และผลประโยชน์ดูแลพยาบาล (ค่าชดเชย) - สำหรับผลประโยชน์แต่ละรายการที่ว่านี้ คุณควรยื่นคำร้องขอรับผลประโยชน์การประกัน
ค่าชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมไปยังผู้อำนวยการสำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงานที่มี
เขตอำนาจในการดูแลสถานที่ทำงานคุณ - ในแบบฟอร์มเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทาง
อุตสาหกรรม มีช่องให้นายจ้างรับรองว่าการบาดเจ็บนั้นเป็นอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นจากการทำงาน
นอกจากนี้พระราชกฤษฎีกาเพื่อการบังคับใช้พระราชบัญญัติการประกันค่าสินไหมทดแทนจาก
อุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมกำหนดว่านายจ้างจะต้องให้การรับรองโดยทันทีเมื่อได้รับการร้องขอจาก
แรงงานให้ดำเนินการดังกล่าว ตามวัตถุประสงค์ในการรับผลประโยชน์การประกันค่าชดเชย
อุบัติเหตุทางอุตสาหกรรม - ถึงแม้ว่านายจ้างปฏิเสธว่ามิได้เป็นอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและปฏิเสธให้การรับรอง
แต่การดำเนินการแบบฟอร์มเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุ
ทางอุตสาหกรรมก็จะเริ่มขึ้นแน่นอน แม้ว่าช่องให้นายจ้างกรอกคำรับรองจะยังคงว่างอยู่ก็ตาม หาก
เกิดเหตุการณ์นี้ ให้แนบเอกสารที่ระบุว่านายจ้างไม่ยอมให้การรับรองสาเหตุและสภาพการณ์ของ
อุบัติเหตุ (ไม่มีรูปแบบตายตัวสำหรับเอกสารนี้) - แบบฟอร์มเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทาง
อุตสาหกรรม สามารถขอรับได้ที่สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงาน และสามารถดาวน์โหลด
แบบฟอร์มได้จากเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ
01327
ถาม15:ฉันสามารถรับผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมได้หรือไม่ ถ้าฉันเป็นโรคซึมเศร้าเพราะการใช้อำนาจในทางที่ผิด การล่วงละเมิดทางเพศ ระยะเวลาทำงานที่นานเกินไป ฯลฯ
หากคุณมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดต่อไปนี้ครบทุกข้อ เราจะยอมรับว่าโรคดังกล่าวเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และคุณจะมีสิทธิ์ได้รับผลประโยชน์การประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรม
(1) คุณได้เกิดความเจ็บป่วยขึ้น (ภาวะซึมเศร้า ปฏิกิริยาความเครียดเฉียบพลัน ฯลฯ) ที่ตรงกับข้อกำหนดการยอมรับว่าเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
(2) มีการระบุว่าพบความเครียดทางใจอย่างรุนแรงจากการทำงานในช่วงระยะเวลาประมาณ 6 เดือนก่อนเริ่มมีอาการ
(3) การเจ็บป่วยดังกล่าวไม่ถือว่าเกิดจากความเครียดทางจิตใจหรือปัจจัยส่วนบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน
(คำอธิบาย)
- กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ (The Ministry of Health, Labour and Welfare -- MHLW) ได้กำหนดเกณฑ์การรับรองความผิดปกติทางจิตอันเกิดจากความเครียดทางใจในที่ทำงาน
ว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับการทำงาน (ประกาศ พ.ศ. 2011: “หลักเกณฑ์การรับรองความผิดปกติทาง
จิตอันเกิดจากความเครียดทางใจ”) ข้อกำหนด 3 ข้อที่ระบุไว้ในเกณฑ์การรับรองเหล่านี้เป็น
ข้อกำหนดที่ระบุไว้ในคำตอบข้างต้น - สำหรับความเครียดทางใจตามข้อกำหนด (2) หากบุคคลประสบความเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ
ที่อันตรายต่อชีวิตจากการทำงาน ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยไม่เต็มใจ เช่น พฤติกรรมอนาจาร หรือ
ทำงานล่วงเวลาเกิน 160 ชั่วโมงในเดือนก่อนหน้านี้ ก็จะถือเป็น “กรณีพิเศษ” และถือว่าหนักหนา
พอที่จะสร้างความเครียดทางจิตใจในระดับรุนแรงอันเนื่องมาจากการทำงานได้ แม้ว่าจะยังไม่เข้า
ข่ายของ “กรณีพิเศษ” ดังกล่าว แต่ระดับความรุนแรงของความเครียดทางใจจะได้รับการประเมิน
โดยอาศัยรายละเอียดของการคุกคามอันเกิดจากการใช้อำนาจ การล่วงละเมิดทางเพศ และ
ระยะเวลาทำงานที่นานไป (จำนวนเหตุการณ์ ระยะเวลา และสถานการณ์อื่น ๆ) ซึ่งจะทำให้ภาระที่
ตกอยู่กับสภาพจิตใจถือได้ว่าเข้าขั้น “ร้ายแรง” - สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดขอคำปรึกษาได้จากสำนักงานแรงงาน สำนักงานตรวจสอบ
มาตรฐานแรงงาน หรือผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทนาย
04663
ถาม16:ฉันต้องการลาออก แต่ถูกห้ามไว้ ฉันควรทำอย่างไรดี
ขึ้นอยู่กับว่าสัญญาจ้างของคุณมีระยะเวลาแน่นอนหรือไม่
<<สำหรับสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน>>
- แรงงานภายใต้สัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนอาจบอกเลิกสัญญาจ้างเมื่อใดก็ได้โดย
แสดงเจตจำนงฝ่ายเดียว แม้ว่านายจ้างจะไม่อนุมัติ แต่การลาออกจะมีผลหลังแจ้งการลาออกแล้ว
14 วัน - อย่างไรก็ดีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการออกแบบฟอร์มอนุมัติการออกจากงาน ควรปฏิบัติตาม
ขั้นตอนการลาออกที่กำหนดไว้ในระเบียบการจ้างงาน
<<สำหรับสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน>>
- โดยหลักการแล้วแรงงานตามสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนจำเป็นต้องทำงานให้ครบ
ระยะเวลาดังกล่าว - แต่บางครั้งก็มีข้อยกเว้นที่อนุญาตให้แรงงานตามสัญญาจ้างที่มีระยะเวลาตายตัวสามารถลาออก
ได้เมื่อประสงค์จะลาออก
(คำอธิบาย)
<<สำหรับสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน>>
- แรงงานภายใต้สัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนอาจยื่นใบลาออกได้ทุกเมื่อตาม
ประสงค์ - แม้บางกรณี แรงงานจะประสบปัญหาว่าการลาออกนั้นทำได้ยากเพราะนายจ้างขอร้องไว้ แต่
แรงงานก็สามารถลาออกได้โดยการแจ้งความประสงค์ - โดยหลักการแล้วจะเป็นการดีกว่าที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนการลาออกหากมีระบุไว้ในระเบียบการ
จ้างงาน หากไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการลาออกเขียนไว้ในระเบียบการจ้างงาน การลาออกจะมี
ผลใน 14 วันนับตั้งแต่วันที่แจ้งบริษัทไป หากไม่อาจดำเนินการตามขั้นตอนการลาออกตามปรกติ
ได้ ก็อาจมีข้อพิพาทเกิดขึ้นตามมาในภายหลังได้ว่าแรงงานได้แสดงเจตนาลาออกแล้วหรือยัง
(“ฉันลาออกแล้ว” “คุณยังไม่ได้ลาออกเลย” เป็นต้น) ในการรับมือกับข้อพิพาทดังกล่าว ขอแนะนำ
ให้ยื่นใบลาออกเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนที่มีการยืนยันการจัดส่ง - ตัวอย่างที่พบได้บ่อยของแรงงานตามสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนคือแรงงานประจำ
เต็มเวลา แต่แรงงานชั่วคราวอาจไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนได้เช่นกัน แต่อย่างไรเสียคำว่า
“แรงงานประจำเต็มเวลา” และ “แรงงานชั่วคราว” ก็มิใช่คำเฉพาะทางกฎหมาย ดังนั้นการที่
แรงงานจะมีชื่อตำแหน่งดังที่ว่านี้อยู่ในบริษัทหนึ่ง ๆ ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นแรงงานตามสัญญา
จ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน อย่าลืมตรวจสอบสัญญาจ้างงานของคุณหรือหนังสือแจ้ง
สภาพการทำงาน เพื่อดูว่ามีคำเรียกตำแหน่งงานเฉพาะหรือไม่
<<สำหรับสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน>>
- หากสัญญาจ้างมีคำเรียกตำแหน่งงานเฉพาะทางกฎหมาย (โดยหลักการแล้วอายุการจ้างจะไม่
เกิน 3 ปี และไม่เกิน 5 ปีสำหรับแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญสูงตามที่กำหนดโดยกระทรวง
สาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการ หรือแรงงานที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป) ในขณะที่สัญญายังไม่
หมดอายุ ตามกฎแล้วแรงงานไม่สามารถลาออกได้ด้วยตนเองเพียงฝ่ายเดียว และแม้ว่าแรงงานนี้
จะมีสัญญาจ้างงานแบบกำหนดระยะเวลาแน่นอน แต่ก็อาจลาออกได้ทันทีในกรณีที่เกิด
สถานการณ์อัน “หลีกเลี่ยงไม่ได้” - สถานการณ์อัน “หลีกเลี่ยงไม่ได้” จะมีอยู่จริงหรือไม่นั้นต้องพิจารณาเป็นกรณีไป
- ตัวอย่างที่พบบ่อยของแรงงานตามสัญญาจ้างที่มีระยะเวลาแน่นอนคือ “ลูกจ้างตามสัญญา”
แรงงานจัดหาผ่านระบบลงทะเบียนยังมีสัญญาจ้างที่มีระยะเวลาแน่นอนกับบริษัทจัดหา อย่างไรก็
ตามการตรวจสอบสัญญาจ้างของแรงงานในรายละเอียดเป็นรายบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่
ตรวจสอบแค่ชื่อตำแหน่งในบริษัทเท่านั้น
<<การให้ปรึกษาทั้งสัญญาแบบมีกำหนดเวลาแน่นอนและไม่แน่นอน>>
- หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาทนายหรือบริการปรึกษาด้านแรงงานทั่วไปที่ประจำอยู่
ในสำนักงานแรงงานจังหวัด หรือสำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงาน
01285
ถาม17: ฉันถูกไล่ออกกะทันหัน ควรทำอย่างไรดี
- คุณควรขอให้นายจ้างชี้แจงเหตุผลในการเลิกจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร
- หากคุณไม่เห็นด้วยกับการเลิกจ้าง
สามารถส่งจดหมายลงทะเบียนพร้อมใบรับรองการจัดส่ง เพื่อแสดงว่าคุณยินดีทำงาน
(คำอธิบาย)
- ในการเลิกจ้าง นายจ้างอาจอ้างเหตุผลดังต่อไปนี้
(1) ความสามารถในการทำงานไม่มากพอ
(2) ไม่เหมาะสมกับงาน
(3) ฝ่าฝืนระเบียบการทำงาน ฯลฯ โดยแรงงานเอง
(4) ความต้องการทางธุรกิจของนายจ้าง (เช่น ผลประกอบการฝืดเคือง)
- หากนายจ้างไล่พนักงานออก การเลิกจ้างจะถือเป็นโมฆะเนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิในการเลิกจ้าง
เว้นแต่จะมีเหตุผลแบบไม่ลำเอียงรองรับการเลิกจ้างดังกล่าว และการเลิกจ้างนั้นสมเหตุสมผลตาม
บรรทัดฐานทางสังคมที่ทำกันมานาน คุณอาจยืนยันการตกเป็นโมฆะของการเลิกจ้างได้ โดยให้แสดง
ว่าคุณเต็มใจทำงาน แล้วเรียกร้องขอรับค่าจ้างในช่วงเลิกจ้างนั้นได้ - เมื่อนายจ้างโอนเงินค่าชดเชยการบอกเลิกจ้างหรือเงินชดเชยเข้าบัญชีของคุณ คุณอาจลองส่ง
จดหมายลงทะเบียนพร้อมหนังสือรับรองการจัดส่งไปยังนายจ้าง โดยแจ้งไปว่าเงินก้อนนี้จะครอบคลุม
ค่าจ้างที่คุณควรได้รับ
<<หากคุณไม่ต้องการทำงานที่เดิมต่อไป>>
- หากคุณไม่ต้องการทำงานกับองค์กรนี้อีกต่อไป ก็อาจเรียกร้องค่าเสียหายสำหรับเงินเดือนที่คุณควร
ได้รับจากนายจ้างของคุณ (เทียบเท่ากับค่าจ้างของคุณในระยะเวลาที่เหมาะสม) หรือค่าชดเชยได้ ด้วย
หลักการว่าการเลิกจ้างนั้นเป็นการล่วงละเมิด
- นอกจากนี้หากไม่ได้รับเงินค่าชดเชยบอกเลิกจ้างทั้งที่ไม่ได้มีการแจ้งบอกเลิกจ้างล่วงหน้า คุณก็อาจ
เรียกร้องค่าชดเชยบอกเลิกจ้างได้ (นายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าว่าจะเลิกจ้างอย่างน้อย 30 วันหาก
ประสงค์เลิกจ้างพนักงานจริง และถ้าหากนายจ้างไม่แจ้งล่วงหน้าว่าจะเลิกจ้าง ก็จะต้องจ่ายค่าจ้างเฉลี่ย
อย่างน้อย 30 วัน (ปกติแล้วจำนวนเงินจะต้องเท่ากับค่าจ้างทั้งหมดในช่วงสามเดือนก่อนบอกเลิกจ้าง
แล้วหารด้วยจำนวนวันทั้งหมดของช่วงนั้น)) - นอกจากนี้ยังสามารถลดจำนวนวันของการบอกเลิกจ้างล่วงหน้าตามจำนวนวันที่จ่ายเงินเผื่อการบอก
เลิกจ้างได้ - หากยื่นฟ้องคดีภายใน 2 ปีนับแต่วันที่เลิกจ้าง (แต่ล่าสุดนี้เกณฑ์คือ “ภายใน 3 ปีนับจากวันที่เลิก
จ้าง” ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานแรงงานฉบับแก้ไข (มีผลบังคับใช้ 1 เมษายน 2020)) แรงงาน
สามารถขอให้ศาลสั่งจ่ายเงินอีกก้อนเพิ่มเติมได้ด้วย (จ่ายเพิ่ม) โดยเป็นจำนวนเงินเท่ากับค่าชดเชย
บอกเลิกจ้าง อย่างไรก็ตามศาลจะใช้ดุลยพินิจเพื่อตัดสินว่าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ และเป็นจำนวน
เท่าใด
<<ต่อไปนี้คือขั้นตอนในการพิจารณา หากคุณต้องการหารือหรือโต้แย้งการเลิกจ้าง>>
- คุณอาจขอรับคำปรึกษาจากสำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงานหรือสำนักงานแรงงานประจำ
จังหวัด (บริการให้คำปรึกษาด้านแรงงานทั่วไป คำแนะนำและแนวทางจากผู้อำนวยการสำนักงาน
แรงงาน การไกล่เกลี่ยโดยคณะกรรมการประสานงานข้อพิพาท) ที่มีเขตอำนาจในพื้นที่สถานที่ทำงาน
ของคุณ - คุณอาจยื่นฟ้องศาลแรงงานที่ศาลจังหวัดหรือยื่นฟ้องทางแพ่งก็ได้
- คุณอาจยื่นขอประนีประนอมทางแพ่งที่ศาลแขวงได้เช่นกัน
- หากคุณมีปัญหาด้านค่าครองชีพเพราะยังไม่ได้รับค่าจ้างที่ค้างชำระอยู่ อาจยื่นขอรับการชี้ขาด
ชั่วคราวได้จากศาลจังหวัดเพื่อขอคำพิพากษาโดยด่วนได้
“การชี้ขาดชั่วคราวเพื่อรักษาสถานะ” คือการรับรองชั่วคราวว่าคุณมีงานทำ
“การชี้ขาดชั่วคราวเพื่อการจ่ายค่าจ้างชั่วคราว” เป็นวิธีทำให้คุณได้รับค่าจ้างไปพลาง ๆ ก่อน
- ในการยื่นขอให้มีการชี้ขาดชั่วคราว คุณต้องยื่นฟ้องเป็นคดีแยกต่างหาก (คำร้องหลัก) แต่ในบาง
กรณีก็อาจสามารถยุติข้อพิพาท (ถือเป็นมติ) ได้เลย แม้ว่ากระบวนการรักษาสถานะจะยังคงมีอยู่
นอกจากนี้ยังอาจแก้ไขเรื่องนี้ได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่ต้องยื่นคำร้องหลักอีกด้วย - ทั้งนี้ต้องพิจารณาเป็นกรณีไปว่าวิธีการใดเหมาะสมและควรเรียกร้องสิ่งใดบ้าง คุณจึงควรปรึกษา
ทนายหรือผู้เชี่ยวชาญท่านอื่น ๆ เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป
01280
ถาม18: ฉันเป็นคนต่างชาติและลาออกจากงานแล้ว แต่ได้วางแผนอยู่ญี่ปุ่นต่ออีกระยะหนึ่ง ฉันจะต้องทำอย่างไรบ้าง
・ หากคุณจ่ายเงินสมทบประกันสังคมทุกเดือน คุณจะได้รับการคุ้มครองจากประกันการ
ทำงาน และสามารถรับผลประโยชน์กรณีว่างงานได้
・ และคุณจะต้องปรับเปลี่ยนแผนบำเหน็จบำนาญของคุณใหม่ จากประกันบำเหน็จ
บำนาญแรงงานเป็นแผนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ และหากคุณวางแผนที่จะอยู่ญี่ปุ่นต่อ
เกินกว่าสามเดือน ให้ลงทะเบียนเข้าร่วมระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ และสามารถขอรับ
คำปรึกษาได้จากแผนกที่ดูแลเรื่องดังกล่าวของสำนักงานเทศบาลใกล้บ้านคุณ
(คำอธิบาย)
・ ชาวต่างชาติที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะได้รับการคุ้มครองโดยประกันการจ้างงาน
ตราบใดที่คุณจ่ายเงินสมทบประกันสังคมแล้ว คุณก็มีสิทธิตามระบบประกันการจ้างงาน
・ แต่สำหรับแรงงานผิดกฎหมายที่ไม่มีสถานะการพำนัก ก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองโดยประกันการ
จ้างงาน ดังนั้นจึงไม่มีสวัสดิการกรณีว่างงานให้
03826
ถาม19: ฉันทำงานภายใต้สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา แต่สัญญาของฉันไม่ได้รับการต่ออายุ ฉันมีทางเลือกอะไรบ้าง
นายจ้างอาจมีข้อจำกัดในการปฏิเสธไม่ต่ออายุสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา ในกรณีที่ได้มีการต่ออายุสัญญาดังกล่าวแล้วหลายครั้ง และ (1) ลูกจ้างทำงานภายใต้เงื่อนไขที่ไม่แตกต่างมากนักจากสัญญาจ้างงานแบบไม่จำกัดระยะเวลา (สัญญาจ้างงานแบบไม่มีกำหนดระยะเวลา) หรือ (2) มีเหตุอันควรให้คาดหวังว่าสัญญาดังกล่าวจะได้รับการต่ออายุเมื่อครบกำหนด
(คำอธิบาย)
โดยหลักการแล้ว สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลาจะสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนด เว้นแต่นายจ้างจะต่ออายุสัญญาออกไป อย่างไรก็ตาม กฎหมายสัญญาจ้างงานได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ควบคุมการที่นายจ้างจะปฏิเสธไม่ต่ออายุสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลาซึ่งได้รับการต่ออายุแล้วหลายครั้ง (ซึ่งเรียกว่า “การเลิกจ้าง”)
นายจ้างมีข้อจำกัดในการปฏิเสธไม่ต่ออายุสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา แม้ว่านายจ้างได้แสดงเจตนาที่จะปฏิเสธการต่ออายุแล้ว ในกรณีที่สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลาเคยได้รับการต่ออายุหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน และ (1) ลูกจ้างทำงานภายใต้เงื่อนไขที่ไม่แตกต่างมากนักจากสัญญาจ้างงานแบบไม่จำกัดระยะเวลา (สัญญาจ้างงานแบบไม่มีกำหนดระยะเวลา) หรือ (2) มีเหตุอันควรให้ลูกจ้างคาดหวังว่าสัญญาดังกล่าวจะได้รับการต่ออายุเมื่อครบกำหนด
ในทั้งสองกรณีนี้ จะถือว่าการที่นายจ้างปฏิเสธไม่ต่ออายุสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลานั้นเป็นโมฆะ เว้นแต่มีเหตุอันควรตามพื้นฐานข้อเท็จจริง และถือว่าการปฏิเสธดังกล่าวเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับได้
ทั้งนี้ การตัดสินว่าเหตุที่ระบุไว้ในข้อ (1) หรือ (2) ข้างต้นมีผลกับกรณีนั้น ๆ หรือไม่ ต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการอย่างครอบคลุม เช่น จำนวนครั้งที่ต่ออายุสัญญา เนื้อหาและลักษณะของงาน ระยะเวลาการจ้างงานทั้งหมด สถานะของการจัดการระยะเวลาสัญญา (วิธีดำเนินการ ณ เวลาที่ต่ออายุ ฯลฯ) สถานะ ณ เวลาที่ทำการสรรหาลูกจ้าง (การต่ออายุ) และพิจารณาว่าคำพูดและการกระทำของนายจ้างก่อให้เกิดความคาดหวังว่าจะยังคงมีการจ้างงานต่อไปหรือไม่ เป็นต้น
โปรดทราบว่า ลูกจ้างต้องยื่นคำขอต่ออายุสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา หรือยื่นคำขอให้ทำสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลาฉบับใหม่โดยไม่ชักช้าหลังจากสัญญาฉบับเดิมครบกำหนด (อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง “คำขอ” ลักษณะนี้เป็นที่รับรู้กันอย่างคร่าว ๆ ลูกจ้างไม่จำเป็นต้องสละสิทธิแม้ว่าจะไม่ได้ยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน ฯลฯ)
ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทนายความ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
02545
ถาม20: ฉันได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน (อุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม) ระหว่างอยู่ภายใต้สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา และฉันถูกเลิกจ้างเนื่องจากไม่สามารถกลับไปทำงานได้ ฉันมีทางเลือกอะไรบ้าง
หากตามพื้นฐานข้อเท็จจริงถือว่าคุณฟื้นตัวจนถึงระดับที่สามารถกลับไปทำงานได้ จะมีช่องทางให้กล่าวอ้างได้ว่า การบอกเลิกจ้างดังกล่าว (ข้อบ่งชี้ถึงการปฏิเสธไม่ต่ออายุสัญญาจ้างงาน) เป็นโมฆะ และมีช่องทางให้ขอรับคำยืนยันสถานะการเป็นลูกจ้างของคุณ
นอกจากนี้ คุณอาจจะสามารถเรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหาย (รายได้ที่เสียไป ฯลฯ) หรือค่าปลอบขวัญ แม้ว่าการเลิกจ้างจะมีผลสมบูรณ์
(คำอธิบาย)
กฎหมายมาตรฐานแรงงานห้ามมิให้นายจ้างไล่ลูกจ้างออกในระหว่างระยะเวลาที่ลูกจ้างขาดงานเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม รวมถึงระยะเวลา 30 วันหลังจากนั้น แต่ข้อจำกัดนี้จะไม่มีผลใช้บังคับกับการเลิกจ้างภายใต้สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา
อย่างไรก็ตาม หากสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลาได้รับการต่ออายุแล้วหลายครั้งและโดยพื้นฐานแล้วอาจเรียกได้ว่าเป็น “สัญญาจ้างงานแบบไม่มีกำหนดระยะเวลา” จะมีช่องทางให้โต้แย้งได้ว่าการเลิกจ้างเทียบเท่ากับการไล่ออก และการไล่ออกดังกล่าวเป็นโมฆะ
นอกจากนี้ หากถือว่าอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรมเกิดจากการจงใจประพฤติมิชอบหรือความประมาทเลินเล่อของนายจ้าง อาจเป็นไปได้ที่จะเรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหาย (รายได้ที่เสียไป) เนื่องจากการสูญเสียความสามารถในการทำงานและการสูญเสียโอกาสในการเข้าทำงาน รวมถึงเรียกร้องค่าปลอบขวัญได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากลูกจ้างได้รับผลประโยชน์จากประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม นายจ้างจะได้รับการยกเว้นความรับผิดในการชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามขอบเขตดังกล่าว (ในกรณีที่ค่าปลอบขวัญ ค่ารักษาพยาบาลเบ็ดเตล็ด ฯลฯ ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จากประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม และนายจ้างไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดดังกล่าวด้วยเหตุผลที่ว่าลูกจ้างได้รับผลประโยชน์จากประกันค่าชดเชยอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม)
ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานแรงงานในพื้นที่ของคุณ หรือทนายความ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
03083
ถาม21: ฉันเป็นแรงงานที่ถูกส่งตัวมาจากบริษัทจัดส่งแรงงาน แต่จู่ ๆ ลูกค้าที่ฉันถูกส่งตัวไปทำงานด้วยแจ้งว่าฉันไม่ต้องไปทำงานอีกแล้ว ผลก็คือ ฉันถูกปลดออกจากบริษัทจัดส่งแรงงาน ฉันมีทางเลือกอะไรบ้าง
แม้ว่าลูกค้าจะเลิกสัญญาจัดส่งแรงงานกับบริษัทจัดส่งในระหว่างระยะเวลาของสัญญา แต่มิได้หมายความว่าสัญญาจ้างงานระหว่างแรงงานที่ถูกส่งตัวไปกับบริษัทจัดส่งจะสิ้นสุดตามไปด้วย
จึงเป็นไปได้ที่จะทำการเรียกร้องดังต่อไปนี้กับบริษัทจัดส่งแรงงาน (นายจ้างของแรงงานที่ถูกส่งตัวไป)
(1) กล่าวอ้างว่าการไล่ออกเป็นโมฆะ และขอให้บริษัทส่งตัวไปทำงานกับลูกค้าใหม่ตามระยะเวลาที่ยังเหลืออยู่ของสัญญาจ้างงาน
(2) ขอรับค่าจ้างตามระยะเวลาที่ถูกไล่ออก (นับตั้งแต่เวลาที่ไล่ออกจนถึงเวลาที่การไล่ออกเป็นโมฆะ)
(3) เรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหายและเงินช่วยเหลือสำหรับการบอกเลิกสัญญาล่วงหน้า หากการไล่ออกนั้นมีผลสมบูรณ์
(คำอธิบาย)
ในกรณีของการจัดส่งแรงงาน มีความสัมพันธ์ทางสัญญาอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ (1) “สัญญาจัดส่งแรงงาน” ระหว่างบริษัทจัดส่งแรงงาน (บริษัทจัดส่ง) กับลูกค้า และ (2) “สัญญาจ้างงาน” ระหว่างบริษัทจัดส่งแรงงานกับแรงงานที่ถูกส่งตัวไป
และมีการจัดส่งแรงงานอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ “การจัดส่งแรงงานแบบขึ้นทะเบียน” ซึ่งแรงงานได้รับการว่าจ้างโดยบริษัทจัดส่งตามระยะเวลาของสัญญาจัดส่งแรงงานเท่านั้น และ “การจัดส่งแรงงานแบบปกติ” ซึ่งแรงงานได้รับการว่าจ้างโดยบริษัทจัดส่งตลอดเวลา การจัดส่งแรงงานแบบขึ้นทะเบียนเป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด
ทั้งนี้ แม้แต่ในกรณีของการจัดส่งแรงงานแบบขึ้นทะเบียน การสิ้นสุดสัญญาจัดส่งแรงงานในระหว่างระยะเวลาของสัญญาจะไม่ทำให้สัญญาจ้างงานที่จัดทำขึ้นต่างหากถูกยกเลิกในทันที (การไล่ออก) อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงมีหลายกรณีที่การเลิกสัญญาจัดส่งแรงงานและการไล่แรงงานออกมีความเชื่อมโยงกัน
การไล่ออกที่กระทำโดยบริษัทจัดส่งแรงงานมีข้อจำกัดตามกฎหมายสัญญาจ้างงานและกฎหมายมาตรฐานแรงงาน แม้ว่ากฎหมายอนุญาตให้ไล่ออกได้ แต่โดยหลักการแล้ว ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการไล่ออกหรือจ่ายเงินช่วยเหลือสำหรับการบอกเลิกจ้างล่วงหน้า
นอกจากนี้ หากกฎหมายไม่อนุญาตให้ทำการไล่ออก หมายความว่าแรงงานไม่อาจทำงานในระหว่างระยะเวลาของสัญญาจ้างงานเนื่องจากพฤติการณ์ของบริษัทจัดส่งแรงงาน ดังนั้น แรงงานดังกล่าวสามารถเรียกร้องค่าจ้างตามระยะเวลาที่ถูกไล่ออกได้
หากบริษัทจัดส่งแรงงานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยกเลิกสัญญาจ้างงาน บริษัทต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่แรงงาน
ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทนายความ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
02960
ถาม22: หากพนักงานสัญญาจ้าง (ลูกจ้างภายใต้สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา) ลาออกจากงาน จะต้องจ่ายค่าปรับหรือไม่ นายจ้างสามารถเรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญาได้หรือไม่
กฎหมายมาตรฐานแรงงานห้ามมิให้สัญญาจ้างงานกำหนดบทลงโทษ ดังนั้น พนักงานสัญญาจ้างจึงไม่ต้องจ่ายเบี้ยปรับใด ๆ
อย่างไรก็ตาม หากลูกจ้างภายใต้สัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลาลาออกจากงานก่อนที่สัญญาจะครบกำหนด ลูกจ้างอาจถูกตัดสินว่าละทิ้งความรับผิดชอบในการทำงาน และต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงอันเป็นผลมาจากการที่ลูกจ้างผิดสัญญาให้แก่นายจ้าง
(คำอธิบาย)
กฎหมายมาตรฐานแรงงานห้ามมิให้นายจ้างทำสัญญาจ้างงานที่กำหนดเบี้ยปรับสำหรับการผิดสัญญา ดังนั้น แม้ว่าสัญญาจ้างงานจะมีบทบัญญัติที่กำหนดเบี้ยปรับไว้ แต่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นโมฆะและลูกจ้างไม่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยปรับ
ในกรณีของสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลา ลูกจ้างไม่สามารถลาออกจากงานได้ และโดยหลักการแล้วนายจ้างไม่สามารถสิ้นสุดสัญญาได้จนกว่าสัญญาจะครบกำหนด อย่างไรก็ตาม ทั้งลูกจ้างและนายจ้างอาจเลิกสัญญาได้ทันทีในกรณีที่มีเหตุที่ “ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
หากสัญญาจ้างงานแบบมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดด้วยเหตุที่ “ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ฝ่ายผู้กระทำผิดให้เกิดเหตุดังกล่าวต้องรับผิดในการชดเชยค่าเสียหายให้แก่อีกฝ่าย ตัวอย่างเช่น หากนายจ้างไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยกเลิกสัญญาจ้างงานเนื่องจากลูกจ้างได้ละทิ้งความรับผิดชอบในการทำงาน ลูกจ้างจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย
เนื่องจากเป็นการยากที่จะตัดสินว่าอะไรทำให้เกิดเหตุที่ “ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” และยากที่จะตัดสินว่าลูกจ้างเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทนายความ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
01287
ถาม23: ขณะนี้ฉันทำงานโดยใช้วีซ่า “วิศวกร/ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยศาสตร์/กิจการต่างประเทศ” และกำลังคิดที่จะลาออก ฉันอยากหางานใหม่ในญี่ปุ่น แต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานภาพการพำนักของฉัน
หากคุณตัดสินใจเลือกงานใหม่แล้วและงานดังกล่าวอยู่ในประเภทเดียวกับงานปัจจุบัน จะถือว่าอยู่ภายใต้ขอบเขตกิจกรรมที่คุณได้รับอนุญาต ดังนั้น คุณสามารถยื่นขอขยายระยะเวลาการพำนักของคุณได้เมื่อครบกำหนดเดิม
หากคุณต้องการทำงานประเภทอื่น (นอกขอบเขตของกิจกรรมที่ได้รับอนุญาต) คุณจะต้องยื่นขอเปลี่ยนแปลงสถานภาพการพำนัก โปรดติดต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประจำภูมิภาคที่ใกล้คุณที่สุด เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารที่คุณต้องใช้ในการยื่นขอเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
โปรดทราบว่า สถานภาพการพำนักของคุณอาจถูกเพิกถอนหากคุณไม่สามารถหางานใหม่ได้ภายใน 3 เดือนหลังจากลาออกจากงานปัจจุบัน
นอกจากนี้ เมื่อคุณลาออกหรือเปลี่ยนงาน คุณจะต้องแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทราบถึงการเลิกสัญญากับนายจ้างรายเดิมและการทำสัญญากับนายจ้างรายใหม่ ฯลฯ ภายใน 14 วัน
(คำอธิบาย)
การที่ผู้พำนักชาวต่างชาติจะสามารถทำงานในญี่ปุ่นได้หรือไม่ รวมถึงประเภทและเนื้อหาของงานที่ได้รับอนุญาตให้ทำได้ จะขึ้นอยู่กับสถานภาพการพำนักของผู้พำนักดังกล่าว
ผู้พำนักชาวต่างชาติซึ่งมีสถานภาพการพำนักที่ได้รับมอบตามกิจกรรมที่กระทำในญี่ปุ่นและอนุญาตให้ทำงานในญี่ปุ่นได้ เช่น “ผู้จัดการธุรกิจ” “วิศวกร/ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยศาสตร์/กิจการต่างประเทศ (ESI)” ฯลฯ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานอื่นนอกจากกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตตามสถานภาพการพำนักของตน
ในกรณีที่ผู้พำนักชาวต่างชาติเปลี่ยนงานใหม่ภายในขอบเขตของกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตตามสถานภาพการพำนักปัจจุบัน ผู้พำนักไม่จำเป็นต้องดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับสถานภาพการพำนักของตนโดยทันที
หากงานใหม่อยู่นอกขอบเขตของกิจกรรมที่ได้รับอนุญาต ผู้พำนักชาวต่างชาติต้องเปลี่ยนสถานภาพการพำนักใหม่
ไม่ว่างานใหม่ของผู้พำนักชาวต่างชาติจะอยู่ภายในขอบเขตของกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตตามสถานภาพการพำนักปัจจุบันหรือไม่นั้น มีข้อกำหนดไว้ใน “ข้อบัญญัติกระทรวงว่าด้วยมาตรฐาน” (ข้อบัญญัติที่กำหนดมาตรฐานตามมาตรา 7 วรรค 1 ข้อ ii ในกฎหมายควบคุมคนเข้าเมืองและการรับผู้ลี้ภัย) และมีแนวปฏิบัติเผยแพร่ไว้โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่น (คำชี้แจงสถานภาพการพำนักของ “วิศวกร/ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยศาสตร์/กิจการต่างประเทศ”)
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงเป็นการยากที่จะทราบว่างานที่คุณจะเปลี่ยนไปทำนั้นตรงกับสถานภาพการพำนักของคุณหรือไม่ หากคุณไม่แน่ใจ อาจพิจารณาใช้ระบบใบรับรองคุณสมบัติการทำงานเพื่อยืนยัน
03806